วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ตัวเลขและระบบเลขโรมัน



สามารถเข้าไปศึกษาเรื่อง ตัวเลขและระบบเลขโรมันได้โดยคลิกที่รูปเลยค่ะ



สมุดเล่มเล็ก ตัวเลขและระบบเลขโรมัน


       สมุดเล่มเล็กเรื่องตัวเลขและระบบเลขโรมัน ชั้น ม.1

Clip การแก้ปัญหา 17 นาที โดยโจโจ้ซัง


คณิตศาตร์... ใครว่าเป็นเรื่องในห้องเรียน?? 
เราอาจจะเจอปัญหาที่ให้แก้โดยใช้หลักคณิตศาสตร์ในชีวิตจริงก็ได้ !! 


วีดิโอการใช้คณิตศาสตร์ การแก้ปัญหา โดยกลุ่มโจโจ้ซัง

เนื่องจากขัดข้องทางเทคนิค ขอให้ท่ารับชมนาทีที่ 9.50 ในคลิปวีดิโอที่สองค่ะ


วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

New Innnovations


อัพเดทนวัตกรรมใหม่ๆได้ที่นี่....
I: นวัตกรรมอัจฉริยะ เปลี่ยนกระดาษใช้แล้วเป็นดินสอได้
II: รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ติดเครื่อง'เจ็ต'จาก'จากัวร์'
III: DBA Pens ปากกาย่อยสลายได้
IV: ที่เย็บกระดาษโดยไม่ต้องใช้ลวดเย็บกระดาษ
V: undercover colours ยาทาเล็บสูตรพิเศษ!
VI: รถไม่ต้องล้าง !
VII: สุดยอดแห่งการประหยัดและพกพา นวัตกรรมเครื่องพิมพ์ไร้ตลับหมึก เครื่องเล็กที่สุดในโลก
VIII: โฮโลแกรม เทคโนโลยีเสมือนจริงสุดล้ำ !
IX: มือถือไร้แบต !
X: วิธีการแก้ปัญหาที่จอดรถจักรยานไม่พอของประเทศญี่ปุ่น !
XI: นวัตกรรมเครื่องตากผ้า แห้งทันใจพกไปได้ทุกที่
XII: เครื่องซักผ้าพลังงานคน !
XIII: ชาร์จแบตมือถือให้เต็มภายใน 30 วินาที!
XIV: นั่ง"รถไฟฟ้า" ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ
XV: LiquiGlide สารเคลือบขวดที่ทำให้ซอสมะเขือเทศไหลออกจากขวดอย่างรวดเร็ว

LiquiGlide สารเคลือบขวดที่ทำให้ซอสมะเขือเทศไหลออกจากขวดอย่างรวดเร็ว

         หลายคนคงรู้สึกหงุดหงิด เวลาเทซอสมะเขือเทศที่อยู่บริเวณก้นขวด เนื่องจากซอสมะเขือเทศที่อยู่ก้นขวดนั้นไม่ยอมไหลออกมา และทำให้ต้องทิ้งขวดซอสมะเขือเทศทั้งๆที่ยังมีซอสเหลืออยู่ในขวดจำนวนหนึ่ง แต่ นาย Dave Smith และทีมงานวิศวกร รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีนาโน ที่สถาบันวิจัย Varanasi Research Group ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้คิดค้นสารเคลือบขวด ที่ทำให้ซอสมะเขือเทศไหลออกมาจากขวดอย่างรวดเร็วและไม่มีติดก้นขวดแม้แต่หยดเดียว   

นวัตกรรมดังกล่าวเรียกว่า "LiquiGlide" คือสารเคลือบผิวที่ทำจากสารที่ไม่เป็นพิษ ซึ่งสามารถนำไปใช้กับภาชนะใส่อาหารทุกชนิด เช่น ขวดซอสมะเขือเทศ และ มายองเนส โดยที่ตัวแทนของทีมนักวิจัยมองว่า นวัตกรรมนี้จะช่วยลดปริมาณซอส หรือ อาหารอื่นๆ ที่ถูกทิ้งเนื่องจากเทไม่ออกจากขวดได้ถึง 1 ล้านตันต่อปี 
นาย Smith ได้อธิบายไว้ว่า นวัตกรรมนี้คือการเคลือบพื้นผิวอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นของเหลวที่มีความเข็งเหมือนของเข็งทั่วไป แต่ลื่นไหลเหมือนของเหลว ซึ่งสามารถใช้กับภาชนะมากมายอย่างเช่น แก้ว หรือ พลาสติก และสามารถนำไปใช้ได้ในหลากหลายวิธีการ ประกอบด้วย การพ่นสารเคลือบนี้กับพื้นผิวด้านในของขวด ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในขวดไหลออกมาอย่างรวดเร็วและง่ายดาย 

ขวดซอสมะเขือเทสเคลือบ LiquiGlide

                                                                 ขวดซอสมะเขือเทศทั่วไป
 
หนึ่งในบททดสอบสำคัญที่ทีมนักวิจัยต้องประสบคือการทำให้พวกเขามั่นใจว่า อาหารที่อยู่ในภาชนะซึ่งถูกเคลือบด้วยนวัตกรรมนี้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ส่งผลให้พวกเขาต้องทำการทดลองด้วยวัสดุที่องค์กรอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ FDA รับรองคุณภาพเท่านั้น 
ก่อนหน้านี้ ทีมนักวิจัยกับนาย Smith ได้ใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาสารเคลือบผิวหลายหลายชนิด เพื่อหาทางป้องกันการอุดตันของท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แต่นาย Smith ก็เริ่มมีแนวคิดที่จะใช้สารเคลือบที่พวกเขาพัฒนากับภาชนะบรรจุอาหาร และทีมงานของพวกเขาก็เห็นด้วย ส่งผลพวกเขาคิดค้นนวัตกรรมนี้ได้สำเร็จ
 
อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมนี้ก็ไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก ทำให้นาย Smith ต้องพยายามทำการทดลองและพัฒนานวัตกรรมนี้ต่อไป เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างภาชนะที่เคลือบด้วยนวัตกรรมนี้ และ ภาชนะรุ่นเก่าที่ไม่มีการเคลือบ  
แต่เขาก็เริ่มมองเห็นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ เมื่อนวัตกรรมนี้สามารถคว้าอันดับ 2 ในการประกวดนวัตกรรมที่สถาบันเทคโนโลยีประจำรัฐแมสซาชูเซตส์ และสามารถคว้ารางวัลขวัญใจคนดูไปได้สำเร็จ
ในขณะนี้ นาย Smith ได้เริ่มพูดคุยกับบริษัทผลิตขวดบางแห่ง แต่ก็ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการและทีมงานเขาก็ไม่สามารถตั้งบริษัทด้วยตัวเอง รวมทั้งยังไม่มีการร่วมงานกับหน่วยงานอื่นๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในขณะที่ปฏิบัติการในห้องทดลองของเขาก็ยังไม่ถือว่าเสร็จสมบูรณ์อีกด้วย ทำให้ยังไม่มีการเผยแพร่นวัตกรรมนี้อย่างแพร่หลาย 

ขวดมายองเนสเคลือบ LiquiGlide  
ขวดมายองเนสทั่วไป

ขอขอบคุณ http://www.energysavingmedia.com/

นั่ง"รถไฟฟ้า" ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ

      
          เช่นเดียวกับที่ทีมนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น เชื่อว่า "ลิฟต์อวกาศ" ไม่เพียงจะเป็นหนทางประหยัดมากกว่าจรวดในการขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ดร. เจมส์ พาวเวลล์ ผู้ร่วมประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยี แม็กเลฟ ที่ใช้สนามแม่เหล็กในการขับเคลื่อนขบวนรถไฟความเร็วสูงกับ ดร.จอร์จ เมส วิศวกรอวกาศยาน ซึ่งเคยทำงานอยู่กับห้องปฏิบัติการแห่งชาติ บรูคเฮฟเวน ของสหรัฐอเมริกา ก็เชื่อเช่นเดียวกันว่าแนวความคิด "รถไฟแม็กเลฟสตาร์แทรม" ก็สามารถทำให้การเดินทางสู่อวกาศ ถูกลง และมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

          นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองอยู่ เบื้องหลังแนวความคิดในการสร้าง "สตาร์แทรม" ระบบส่งอวกาศยานด้วยพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่เชื่อว่ามีความเป็นไปได้แล้ว ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ในทุกวันนี้ เพียงผสมผสานความสามารถและความเชี่ยวชาญของทั้งสองสาขาเข้าด้วยกัน นอกจากนั้นยังมีความเป็นไปได้ที่จะใช้แนวความคิดนี้ไปในเชิงพาณิชย์ อย่างเช่นการท่องเที่ยวอวกาศอีกด้วย

  ตามแนวคิดรถไฟฟ้าอวกาศนี้จะแยกออกเป็น 2 เวอร์ชั่น เจเนอเรชั่นที่ 1 หรือเวอร์ชั่นแรกเป็นขบวนรถไฟฟ้าเพื่อส่งยานอวกาศสำหรับการจัดส่งพัสดุภัณฑ์ เท่านั้น มูลค่าก่อสร้างเบื้องต้นที่ประเมินไว้ในตอนนี้เท่ากับ 20,000 ล้านดอลลาร์ 

 อีกเวอร์ชั่น เจน 2 จะเป็นระบบส่งสำหรับยานอวกาศที่มีผู้โดยสารอยู่ด้วย ซึ่งมูลค่าการก่อสร้างจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า เป็นราว 60,000 ล้านดอลลาร์

 ถ้าหากตัดสินใจในวันนี้ แบบแรกจะใช้เวลาอีก 10 ปีก็แล้วเสร็จ ส่วนเจน 2 จะต้องใช้เวลาเพิ่มมากขึ้นเป็น 20 ปี และใช้ทรัพยากรเพื่อการก่อสร้างมากกว่าแบบแรกมาก


  ตามแนวคิดเบื้องต้น เจน 1 ของสตาร์แทรม จะถูกสร้างขึ้นตามแนวด้านข้างของภูเขาสูง ในขณะที่เจเนอเรชั่นที่ 2 นั้นจะเป็นการก่อสร้างแนวรางพลังแม่เหล็กยกระดับให้สูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่อยู่สูงเหนือพื้นดินราว 20 กิโลเมตร รวมระยะทางของรางทั้งหมดราว 1,609 กิโลเมตร

  ตัวรางซึ่งแน่นอนจะมีส่วนที่ถูกยึดโยงอยู่กับพื้น ดิน แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ตอม่อหรือเสาค้ำยันใดๆ เพราะใช้เทคโนโลยีแม็กเลฟ ซึ่งอาศัยคุณสมบัติการเกิดแรงผลักของแม่เหล็กไฟฟ้าขั้วเดียวกันมาใช้ ยกระดับรางดังกล่าวให้ลอยอยู่กลางอากาศ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบเสียหายจากคลื่นสั่นสะเทือนที่จะเกิดขึ้นเมื่อ สตาร์แทรมขับเคลื่อน ระบบทั้งหมดจะถูกหุ้มอยู่ภายในอุโมงค์สุญญากาศ ซึ่งจะดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วระดับ ไฮเปอร์โซนิค (ความเร็วเหนือเสียงมากกว่า มัค 5 ขึ้นไป) ซึ่งจะทำระยะทางได้ 9 กิโลเมตรในระยะเวลาเพียงแค่ 1 วินาทีเท่านั้น

  ในขั้นตอนสุดท้าย ตัวยานจะเร่งความเร็วขึ้นสูงสุดก่อนหลุดจากราง เมื่อถึงตอนนั้นมันก็จะอยู่ในระดับสูงพอที่จะเข้าสู่วงโคจรระดับล่างของโลก (แอลอีโอหรือ โลเวอร์ เอิร์ธ ออร์บิท-หมายถึงวงโคจรใดๆ ที่อยู่ในระยะห่างจากพื้นผิวโลกระหว่าง 1600 กิโลเมตรถึง 2,000 กิโลเมตร) แล้ว

  "สตาร์แทรม" สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายในอนาคต ตั้งแต่การปกป้องโลกจากดาวเคราะห์น้อย, การทำฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศ, การทำเหมืองแร่บนดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง, การใช้อวกาศเพื่อการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม และการสร้างนิคมในอวกาศ เป็นต้น

  ดร.พา วเวลล์และ ดร.เมสยอมรับว่า มูลค่าการลงทุนดังกล่าวสูงมาก แต่ถ้าเทียบกับค่าใช้จ่ายขององค์การบริหารการบินอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ในเวลานี้ ที่ต้องใช้เงิน 10,000 ดอลลาร์ (ราว 320,000 บาท) ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัมของของใดๆ ที่ส่งขึ้นสู่ห้วงอากาศ แต่ระบบสตาร์แทรมสิ้นเปลืองเพียง 50 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม หรือ นาซาต้องจ่ายเงิน 20 ล้านดอลลาร์ให้กับรัสเซียในการส่งนักบินอวกาศหนึ่งคนขึ้นสู่ห้วงอวกาศในตอน นี้
 
 ในขณะที่ระบบสตาร์แทรมใช้เงินเพียง 5,000 ดอลลาร์ต่อคนเท่านั้นเอง

ขอขอบคุณ http://www.matichon.co.th/

ชาร์จแบตมือถือให้เต็มภายใน 30 วินาที!


         ในการชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือให้เต็มเพื่อนๆต้องใช้เวลาเท่าไหร่คะ 1 ชม.? 2 ชม.? 3 ชม.? หรือมากกว่านั้นคะ? แต่เพื่อนๆสามารถชาร์จแบตให้เต็มภายใน 30 วินาทีด้วยนวัตกรรมชิ้นนี้ค่ะ! อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ 30 วินาทีจริงๆ! 



          การรอคอยการชาร์ตไฟสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่นานๆ อาจกลายเป็นอดีตไปแล้ว เมื่อเด็กนักเรียนหญิงวัยเพียง 18 ปี “เอชา คาเร” จากโรงเรียนมัธยมในแคลิฟอร์เนีย ประดิษฐ์คิดค้นที่เก็บสะสมประจุไฟฟ้า หรือเครื่องสำรองไฟ สามารถชาร์ตมือถือให้เต็มได้ภายในเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 20-30 วินาทีเท่านั้น

         เครื่องสำรองไฟนี้ มีขนาดเล็กจิ๋ว เรียกกันว่า “ซูเปอร์แคพาซิเทอร์” และนำพาให้เธอชนะรางวัลสุดยอดสิ่งประดิษฐ์ระดับนักเรียน “ยัง ไซแอนทิสต์ อวอร์ด” จากงานวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์นานาชาติ ซึ่งจึดขึ้นโดยบริษัทระดับโลกอย่าง Intelและคว้าเงินก้อนโตกลับบ้าน 50,000 ดอลลาร์ (1,500,000 บาท) เลยทีเดียว เธอให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีว่า “มือถือของหนูแบตหมดตลอด จึงเป็นแรงผลักดันให้หนูพยายามคิดและประดิษฐ์เทคโนโลยีเครื่องสำรองไฟขึ้นมา”

ภาพรายงานข่าวซูเปอร์แคพาซิเทอร์ทางช่อง NBC

ขอขอบคุณ http://www.energysavingmedia.com/