วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

นั่ง"รถไฟฟ้า" ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ

      
          เช่นเดียวกับที่ทีมนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น เชื่อว่า "ลิฟต์อวกาศ" ไม่เพียงจะเป็นหนทางประหยัดมากกว่าจรวดในการขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ดร. เจมส์ พาวเวลล์ ผู้ร่วมประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยี แม็กเลฟ ที่ใช้สนามแม่เหล็กในการขับเคลื่อนขบวนรถไฟความเร็วสูงกับ ดร.จอร์จ เมส วิศวกรอวกาศยาน ซึ่งเคยทำงานอยู่กับห้องปฏิบัติการแห่งชาติ บรูคเฮฟเวน ของสหรัฐอเมริกา ก็เชื่อเช่นเดียวกันว่าแนวความคิด "รถไฟแม็กเลฟสตาร์แทรม" ก็สามารถทำให้การเดินทางสู่อวกาศ ถูกลง และมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

          นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองอยู่ เบื้องหลังแนวความคิดในการสร้าง "สตาร์แทรม" ระบบส่งอวกาศยานด้วยพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่เชื่อว่ามีความเป็นไปได้แล้ว ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ในทุกวันนี้ เพียงผสมผสานความสามารถและความเชี่ยวชาญของทั้งสองสาขาเข้าด้วยกัน นอกจากนั้นยังมีความเป็นไปได้ที่จะใช้แนวความคิดนี้ไปในเชิงพาณิชย์ อย่างเช่นการท่องเที่ยวอวกาศอีกด้วย

  ตามแนวคิดรถไฟฟ้าอวกาศนี้จะแยกออกเป็น 2 เวอร์ชั่น เจเนอเรชั่นที่ 1 หรือเวอร์ชั่นแรกเป็นขบวนรถไฟฟ้าเพื่อส่งยานอวกาศสำหรับการจัดส่งพัสดุภัณฑ์ เท่านั้น มูลค่าก่อสร้างเบื้องต้นที่ประเมินไว้ในตอนนี้เท่ากับ 20,000 ล้านดอลลาร์ 

 อีกเวอร์ชั่น เจน 2 จะเป็นระบบส่งสำหรับยานอวกาศที่มีผู้โดยสารอยู่ด้วย ซึ่งมูลค่าการก่อสร้างจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า เป็นราว 60,000 ล้านดอลลาร์

 ถ้าหากตัดสินใจในวันนี้ แบบแรกจะใช้เวลาอีก 10 ปีก็แล้วเสร็จ ส่วนเจน 2 จะต้องใช้เวลาเพิ่มมากขึ้นเป็น 20 ปี และใช้ทรัพยากรเพื่อการก่อสร้างมากกว่าแบบแรกมาก


  ตามแนวคิดเบื้องต้น เจน 1 ของสตาร์แทรม จะถูกสร้างขึ้นตามแนวด้านข้างของภูเขาสูง ในขณะที่เจเนอเรชั่นที่ 2 นั้นจะเป็นการก่อสร้างแนวรางพลังแม่เหล็กยกระดับให้สูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่อยู่สูงเหนือพื้นดินราว 20 กิโลเมตร รวมระยะทางของรางทั้งหมดราว 1,609 กิโลเมตร

  ตัวรางซึ่งแน่นอนจะมีส่วนที่ถูกยึดโยงอยู่กับพื้น ดิน แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ตอม่อหรือเสาค้ำยันใดๆ เพราะใช้เทคโนโลยีแม็กเลฟ ซึ่งอาศัยคุณสมบัติการเกิดแรงผลักของแม่เหล็กไฟฟ้าขั้วเดียวกันมาใช้ ยกระดับรางดังกล่าวให้ลอยอยู่กลางอากาศ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบเสียหายจากคลื่นสั่นสะเทือนที่จะเกิดขึ้นเมื่อ สตาร์แทรมขับเคลื่อน ระบบทั้งหมดจะถูกหุ้มอยู่ภายในอุโมงค์สุญญากาศ ซึ่งจะดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วระดับ ไฮเปอร์โซนิค (ความเร็วเหนือเสียงมากกว่า มัค 5 ขึ้นไป) ซึ่งจะทำระยะทางได้ 9 กิโลเมตรในระยะเวลาเพียงแค่ 1 วินาทีเท่านั้น

  ในขั้นตอนสุดท้าย ตัวยานจะเร่งความเร็วขึ้นสูงสุดก่อนหลุดจากราง เมื่อถึงตอนนั้นมันก็จะอยู่ในระดับสูงพอที่จะเข้าสู่วงโคจรระดับล่างของโลก (แอลอีโอหรือ โลเวอร์ เอิร์ธ ออร์บิท-หมายถึงวงโคจรใดๆ ที่อยู่ในระยะห่างจากพื้นผิวโลกระหว่าง 1600 กิโลเมตรถึง 2,000 กิโลเมตร) แล้ว

  "สตาร์แทรม" สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายในอนาคต ตั้งแต่การปกป้องโลกจากดาวเคราะห์น้อย, การทำฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศ, การทำเหมืองแร่บนดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง, การใช้อวกาศเพื่อการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม และการสร้างนิคมในอวกาศ เป็นต้น

  ดร.พา วเวลล์และ ดร.เมสยอมรับว่า มูลค่าการลงทุนดังกล่าวสูงมาก แต่ถ้าเทียบกับค่าใช้จ่ายขององค์การบริหารการบินอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ในเวลานี้ ที่ต้องใช้เงิน 10,000 ดอลลาร์ (ราว 320,000 บาท) ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัมของของใดๆ ที่ส่งขึ้นสู่ห้วงอากาศ แต่ระบบสตาร์แทรมสิ้นเปลืองเพียง 50 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม หรือ นาซาต้องจ่ายเงิน 20 ล้านดอลลาร์ให้กับรัสเซียในการส่งนักบินอวกาศหนึ่งคนขึ้นสู่ห้วงอวกาศในตอน นี้
 
 ในขณะที่ระบบสตาร์แทรมใช้เงินเพียง 5,000 ดอลลาร์ต่อคนเท่านั้นเอง

ขอขอบคุณ http://www.matichon.co.th/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น